ทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ
(Theory of Cooperative or Collaborative Learning)
ทิศนา แขมมณี (2547
: 98-106) และ ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์ (2553 : 41-44) ได้กล่าวถึงทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ ไว้ดังนี้
1. ทฤษฎีการเรียนรู้
1.1 การเรียนรู้แบบร่วมมือ
คือการเรียนรู้เป็นกลุ่มย่อยโดยมีสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถแตกต่างกันประมาณ 3-6 คน ช่วยกันเรียนรู้เพื่อไปสู่เป้าหมายของกลุ่ม
นักการศึกษาคนสำคัญที่เผยแพร่แนวคิดของการเรียนรู้แบบนี้คือ สลาวิน(Slavin)
เดวิด จอห์นสัน (David Johnson) และรอเจอร์
จอห์นสัน (Roger Johnson) เขากล่าวว่าในการจัดการเรียนการสอนโดยทั่วไปเรามักจะไม่ให้ความสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียน
ส่วนใหญ่เรามักจะมุ่งไปที่ปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับผู้เรียน
หรือระหว่างผู้เรียนกับบทเรียน
ความสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนเป็นมิติที่มักจะถูกละเลยหรือมองข้ามไปทั้ง ๆ ที่มีผลการวิจัยชี้ชัดเจนว่า
ความรู้สึกของผู้เรียนต่อตนเอง ต่อโรงเรียน ครูและเพื่อนร่วมชั้น
1.2 ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียน มี 3 ลักษณะคือ
1.2.1 ลักษณะแข่งขันกัน
ผู้เรียนแต่ละคนจะพยายามเรียนให้ได้ดีกว่าคนอื่น เพื่อให้ได้คะแนนดี
1.2.2 ลักษณะต่างคนต่างเรียน
แต่ละคนต่างก็รับผิดชอบดูแลตนเองให้เกิดการเรียนรู้ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้อื่น
1.2.3 ลักษณะร่วมมือกันหรือช่วยกันในการเรียนรู้ แต่ละคนต่างก็รับผิดชอบในการเรียนรู้ของตน
และในขณะเดียวกันก็ต้องช่วยให้สมาชิกคนอื่นเรียนรู้ด้วย
1.3 องค์ประกอบของการเรียนรู้แบบร่วมมือ
การเรียนรู้แบบร่วมมือไม่ได้มีความหมายเพียงว่า
มีการจัดให้ผู้เรียนเข้ากลุ่มแล้วให้งานและบอกผู้เรียนให้ช่วยกันทำงานเท่านั้น
การเรียนรู้จะเป็นแบบร่วมมือได้ต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญครบ 5 ประการดังนี้
1.3.1 การพึ่งพาและเกื้อกูลกัน (positive
interdependence) สมาชิกกลุ่มทุกคนมีความ
และความสำเร็จของกลุ่มขึ้นอยู่กับสมาชิกทุกคนในกลุ่ม ดังนั้นแต่ละคนต้องรับผิดชอบในบทบาทหน้าที่ของตนและในขณะเดียวกันก็ช่วยเหลือสมาชิกคนอื่น
ๆ ด้วย เพื่อประโยชน์ร่วมกัน ช่วยให้ผู้เรียนมีการพึ่งพาช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
1.3.2 การปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิด (face-to-face
promotive interaction) การที่สมาชิกกลุ่มมีการพึ่งพาช่วยเหลือเกื้อกูลกันเป็นปัจจัยที่เสริมให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันและกันในทางที่จะช่วยให้กลุ่มบรรลุเป้าหมาย
สมาชิกกลุ่มจะห่วงใย ไว้วางใจ ช่วยเหลือกันในการทำงาน
ส่งผลให้เกิดสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน
1.3.3 ความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้ของสมาชิกแต่ละคน (individual
accountability) สมาชิกทุกคนจะต้องมีหน้าที่รับผิดชอบและพยายามทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มความสามารถ
ไม่มีใครที่จะได้รับประโยชน์โดยไม่ทำหน้าที่ของตน
ดังนั้นกลุ่มจึงจำเป็นต้องมีระบบการตรวจสอบผลงาน ทั้งที่เป็นรายบุคคลและเป็นกลุ่ม
1.3.4 การใช้ทักษะการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและทักษะการทำงานกลุ่มย่อย
(interpersonal and small-group skills) การเรียนรู้แบบร่วมมือจะประสบผลสำเร็จได้ต้องอาศัยทักษะที่สำคัญหลายประการ
เช่น ทักษะทางสังคม ทักษะปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ทักษะการทำงานกลุ่ม
ทักษะการสื่อสาร และทักษะการแก้ปัญหาขัดแย้ง รวมทั้งการเคารพ ยอมรับ
และไว้วางใจกันและกัน
1.3.5 การวิเคราะห์กระบวนการกลุ่ม (group
processing) กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมือจะต้องมีการวิเคราะห์กระบวนการทำงานกลุ่มเพื่อช่วยให้กลุ่มเกิดการเรียนรู้และปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้น
การวิเคราะห์การเรียนรู้นี้อาจทำโดยครู หรือผู้เรียน หรือทั้งสองฝ่าย
การวิเคราะห์กระบวนการกลุ่มนี้เป็นยุทธวิธีหนึ่งที่ส่งเสริมให้กลุ่มตั้งใจทำงาน เพราะสามารถที่จะประเมินการคิดและพฤติกรรมของตนที่ได้ทำไป
1.4 ผลดีของการเรียนรู้แบบร่วมมือ
การเรียนรู้แบบร่วมมือส่งผลดีต่อผู้เรียนตรงกันในด้านต่าง ๆ ดังนี้
1.4.1 มีความพยายามที่จะบรรลุเป้าหมายมากขึ้น (greater
efforts to achieve) เป็นผลทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น
และมีผลงานมากขึ้น การเรียนรู้มีความคงทนมากขึ้น
1.4.2 มีความสัมพันธ์ระหว่างผู้เรียนดีขึ้น (more
positive relationships among students) ช่วยให้ผู้เรียนมีน้ำใจนักกีฬามากขึ้น
ใส่ใจในผู้อื่นมากขึ้น เห็นคุณค่าของความแตกต่าง ความหลากหลาย
การประสานสัมพันธ์และการรวมกลุ่ม
1.4.3 มีสุขภาพจิตดีขึ้น (greater psychological
health) ช่วยให้ผู้เรียนมีสุขภาพจิตดีขึ้น
มีความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับตนเองและมีความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น นอกจากนั้นยังช่วยพัฒนาทักษะทางสังคมและความสามารถในการเผชิญกับความเครียด และความผันแปรต่าง ๆ
1.5 ประเภทของการเรียนรู้แบบร่วมมือ
โดยทั่วไปมี 3ประเภทคือ
1.5.1 กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมืออย่างเป็นทางการ (formal
cooperative learning groups) กลุ่มประเภทนี้ครูจัดขึ้นโดยการวางแผน
จัดระเบียบ กฎเกณฑ์ วิธีการและเทคนิคต่าง ๆ
ให้ผู้เรียนได้ร่วมมือกันเรียนรู้สาระต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
จนกระทั่งผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และบรรลุจุดมุ่งหมายตามที่กำหนด
1.5.2 กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมืออย่างไม่เป็นทางการ (informal
cooperative learning groups) กลุ่มประเภทนี้คือจัดขึ้นเฉพาะกิจเป็นครั้งคราว
โดยสอดแทรกอยู่ในการสอนปกติอื่น ๆ โดยเฉพาะการสอนแบบบรรยาย
1.5.3 กลุ่มการเรียนรู้แบบร่วมมืออย่างถาวร (cooperative
base groups) กลุ่มประเภทนี้เป็นกลุ่มการเรียนรู้ที่สมาชิกกลุ่มมีประสบการณ์การทำงาน
สมาชิกกลุ่มมีความผูกพัน ห่วงใย ช่วยเหลือกันและกัน
2.
การประยุกต์ใช้ทฤษฎีในการเรียนการสอน
2.1 ด้านการวางแผนการจัดการเรียนการสอน
2.1.1 กำหนดจุดมุ่งหมายของบทเรียนทั้งทางด้านความรู้และทักษะกระบวนการต่าง
ๆ
2.1.2 กำหนดขนาดของกลุ่ม กลุ่มควรมีขนาดเล็กประมาณ 3
- 6 คน
2.1.3 กำหนดองค์ประกอบของกลุ่ม
จัดผู้เรียนเข้ากลุ่มซึ่งอาจทำโดยการสุ่มหรือการเลือกให้เหมาะกับวัตถุประสงค์
โดยทั่วไปกลุ่มจะต้องประกอบไปด้วยสมาชิกที่คละกันในด้านต่าง ๆ
2.1.4 กำหนดบทบาทของสมาชิกแต่ละคนในกลุ่ม
เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดและมีส่วนในการทำงานอย่างทั่วถึง
ครูควรมอบหมายบทบาทหน้าที่ในการทำงานให้ทุกคน เช่น บทบาทผู้นำกลุ่ม ผู้สังเกตการณ์
เลขานุการ ผู้เสนอผลงาน ผู้ตรวจสอบผลงาน
2.1.5 จัดสถานที่ให้เหมาะสมในการทำงานและมีการปฏิสัมพันธ์กัน
ผู้ต้องคิดออกแบบการจัดห้องเรียนหรือสถานที่ที่ใช้ในการเรียนรู้ให้เอื้อต่อการทำงานของกลุ่ม
2.1.6 จัดสาระ วัสดุ หรืองานที่จะให้ผู้เรียนทำ
จัดแบ่งสาระหรืองานนั้นในลักษณะที่ให้ผู้เรียนแต่ละคนมีส่วนในการช่วยกลุ่มและพึ่งพากันในการเรียนรู้
2.2 ด้านการสอน
ครูควรมีการเตรียมกลุ่มเพื่อการเรียนรู้ร่วมกันดังนี้
2.2.1 อธิบายชี้แจงเกี่ยวกับงานกลุ่ม อธิบายถึงจุดหมายของบทเรียน
เหตุผลในการดำเนินการต่าง ๆ รายละเอียดของงานและขั้นตอนในการทำงาน
2.2.2 อธิบายเกณฑ์การประเมินผลงาน
ผู้เรียนจะต้องมีความเข้าใจตรงกันว่าความสำเร็จของงานอยู่ตรงไหน
งานที่คาดหวังจะมีลักษณะอย่างไร เกณฑ์ที่จะใช้ในการวัดความสำเร็จของงานคืออะไร
2.2.3 อธิบายถึงความสำคัญและวิธีการของการพึ่งพาและเกื้อกูลกัน
ครูควรอธิบายกฎเกณฑ์ ระเบียบ
บทบาทหน้าที่และระบบการให้รางวัลหรือประโยชน์ที่กลุ่มจะได้รับในการร่วมมือกันเรียนรู้
2.2.4 อธิบายวิธีการช่วยเหลือกันระหว่างกลุ่ม
2.2.5 อธิบายถึงความสำคัญและวิธีการในการตรวจสอบความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่แต่ละคนได้รับมอบหมาย
2.2.6 ชี้แจ้งพฤติกรรมที่คาดหวัง
หากครูชี้แจงให้ผู้เรียนได้รู้อย่างชัดเจนว่าต้องการให้ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมอะไรบ้าง
จะช่วยให้ผู้เรียนรู้ความคาดหวังที่มีต่อตนและพยายามจะแสดงพฤติกรรมนั้น
2.3 ด้านการควบคุมกำกับและการช่วยเหลือกลุ่ม
2.3.1 ดูแลให้สมาชิกกลุ่มมีการปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิด
2.3.2 สังเกตการณ์การทำงานร่วมกันของกลุ่ม
ตรวจสอบว่าสมาชิกกลุ่มมีความเข้าใจในงานหรือบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายหรือไม่
2.3.3 เข้าไปช่วยเหลือกลุ่มตามความสามารถ
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของงานและการทำงาน เมื่อพบว่ากลุ่มต้องการความช่วยเหลือ
ครูสามารถเข้าไปชี้แจงหรือให้ความช่วยเหลืออื่น ๆ
2.3.4 สรุปการเรียนรู้
คู่ควรให้กลุ่มสรุปประเด็นการเรียนรู้ที่ได้จากการเรียนรู้แบบร่วมมือ เพื่อช่วยให้การเรียนรู้มีความชัดเจนขึ้น
2.4 ด้านการประเมินผลและวิเคราะห์กระบวนการเรียนรู้
2.4.1 ประเมินผลการเรียนรู้
คู่ควรประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนทั้งทางด้านปริมาณและคุณภาพ
โดยใช้วิธีที่หลากหลายและควรให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการประเมิน
2.4.2 วิเคราะห์กระบวนการทำงานและกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน
ครูควรจัดให้ผู้เรียนมีเวลาในการวิเคราะห์การทำงานของกลุ่มและพฤติกรรมของสมาชิกกลุ่มให้กลุ่มมีโอกาสเรียนรู้ที่จะปรับปรุงส่วนบกพร่องของกลุ่ม
สยุมพร (2555) ได้กล่าวถึงทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือไว้ว่า
แนวคิดขอทฤษฏีนี้ คือ การเรียนรู้เป็นกลุ่มย่อยโดยสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถแตกต่างกันประมาณ
3 – 6 คน ช่วยกันเรียนรู้เพื่อไปสู่เป้าหมายของกลุ่ม
โดยผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันในลักษณะแข่งขันกัน
ต่างคนต่างเรียนและร่วมมือกันหรือช่วยกันในการเรียนรู้
การจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้จะเน้นให้ผู้เรียนช่วยกันในการเรียนรู้
โดยมีกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนมีการพึ่งพาอาศัยกันในการเรียนรู้ มีการปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิด มีการสัมพันธ์กัน
มีการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม มีการวิเคราะห์กระบวนการของกลุ่ม
และมีการแบ่งหน้าที่รับผิดชอบงานร่วมกัน
ส่วนการประเมินผลการเรียนรู้ควรมีการประเมินทั้งทางด้านปริมาณและคุณภาพ
โดยวิธีการที่ หลากหลายและควรให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการประเมิน และครูควรจัดให้ผู้เรียนมีเวลาในการวิเคราะห์การทำงานกลุ่มและพฤติกรรมของสมาชิกกลุ่ม
เพื่อให้กลุ่มมีโอกาสที่จะปรับปรุงส่วนบกพร่องของกลุ่มเดียว
สรุป
จากการศึกษาค้นคว้า และรวบรวมข้อมูล
สรุปได้ว่าทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ คือการเรียนรู้เป็นกลุ่มย่อยโดยมีสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถแตกต่างกันประมาณ
3-6 คน ช่วยกันเรียนรู้เพื่อไปสู่เป้าหมายของกลุ่ม
การจัดการเรียนการสอนตามทฤษฏีนี้จะเน้นให้ผู้เรียนช่วยกันในการเรียนรู้
โดยมีกิจกรรมที่ให้ผู้เรียนมีการพึ่งพาอาศัยกันในการเรียนรู้
มีการปรึกษาหารือกันอย่างใกล้ชิด มีการสัมพันธ์กัน
มีการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม มีการวิเคราะห์กระบวนการของกลุ่ม
และมีการแบ่งหน้าที่รับผิดชอบงานร่วมกัน และครูควรจัดให้ผู้เรียนมีเวลาในการวิเคราะห์การทำงานกลุ่มและพฤติกรรมของสมาชิกกลุ่ม
เพื่อให้กลุ่มมีโอกาสที่จะปรับปรุงส่วนบกพร่องของกลุ่มเดียว
ที่มา
ทิศนา แขมมณี. (2557). ศาสตร์การสอน
( 98 – 106 ). กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์. (2553). 80
นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ (41 - 44).กรุงเทพฯ: แดเน็กซ์ อินเตอร์คอร์ปอเรชั่น จำกัด.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น